วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ตัวอย่างประโยค


1. Present Simple Tense ใช้เพื่อบอกความจริงที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกวัน 
          โครงสร้างไวยากรณ์: S + V1 
          ตัวอย่างประโยค:  
             - I study at Harvard University.  ฉันเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
             - The Sun rises in the east. ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก
             - He calls me honey. เขาเรียกฉันว่าที่รัก


2. Present Continuous Tense ใช้เพื่อบอกเล่าถึงสิ่งที่กำลังทำอยู่ ณ ขณะที่พูด และใช้บอกการกระทำที่ทำอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลานี้ (ปีนี้, เดือนนี้) หรือบอกสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้ก็ได้
          โครงสร้างไวยากรณ์: S + is, am, are + V ing
          ตัวอย่างประโยค:     
              I am going to school. ฉันกำลังจะไปโรงเรียน
              He is walking on the street. เขากำลังเดินอยู่บนถนน
              Cherry is preparing for final exam. เชอร์รี่กำลังเตรียมตัวสอบปลายภาค 


3. Present Perfect Tense ใช้เพื่อบอกเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน และจะใช้ since, for ร่วมด้วยเสมอ หรือบอกเล่าถึงสิ่งที่เพิ่งจะจบลงหมาด ๆ
          โครงสร้างไวยากรณ์: S + have,has +V3 
          ตัวอย่างประโยค:     
              I have worked in Japan since 2010.  ฉันทำงานที่ญี่ปุ่นมาตั้งแต่ปี 2010
              Nancy has stayed with me for 10 months.  แนนซี่อยู่กับฉันมา 10 เดือนแล้ว
              I have already finished my homework.  ผมเพิ่งทำการบ้านเสร็จ 


4. Present Perfect Continuous Tense  ใช้เพื่อบอกเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน และเน้นว่าจะทำต่อไปในอนาคตด้วย เรียกว่ามีหลักการใช้เหมือนกับ Present Perfect Tense เพียงแต่เน้นถึงความต่อเนื่องและเน้นว่าจะทำต่อไปเท่านั้นเอง
          โครงสร้างไวยากรณ์: S + have/has been + V ing 
          ตัวอย่างประโยค: 
              I have been working in Japan since 2010. ฉันทำงานที่ญี่ปุ่นมาตั้งแต่ปี 2010
              Nick have been living in London for 2 months. นิคอาศัยอยู่ในลอนดอนมาได้ 2 เดือนแล้ว 


5. Past Simple Tense ใช้เพื่อบอกความจริงที่เกิดขึ้นในอดีต และตอนนี้ทุกอย่างก็ได้จบลงแล้ว
          โครงสร้างไวยากรณ์: S + V2  
          ตัวอย่างประโยค: 
              I lived in Germany. ฉันเคยอยู่ที่ประเทศเยอรมนี
              Daddy called me last night.  พ่อโทรมาหาฉันเมื่อคืน 


6. Past Continuous Tense ใช้เพื่อบอกเล่าถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่งในอดีต หรือบอกเหตุการณ์หนึ่งในอดีตที่กำลังดำเนินอยู่ ก่อนที่อีกเหตุการณ์จะเกิดขึ้น
          โครงสร้างไวยากรณ์: S + was, were + V ing 
          ตัวอย่างประโยค: 
              I was working all day yesterday. ฉันยุ่งทั้งวันเลยเมื่อวานนี้
              When I opened the door, my father was watching TV. ตอนผมเปิดประตูเข้าบ้าน พ่อผมกำลังดูทีวีอยู่ 


7. Past Perfect Tense ใช้เพื่อบอกเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่แน่ชัด หรือใช้เพื่อบอกเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอดีต โดยจะใช้ Past Perfect Tense กับเหตุการณ์ที่เกิดก่อนเสมอ ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทีหลังใช้ Past Simple Tense
          โครงสร้างไวยากรณ์: S + had +V3 
          ตัวอย่างประโยค: 
              Two students had gone before the teacher came to the room.  นักเรียนสองคนออกไปจากห้องแล้ว ก่อนที่ครูจะเข้ามา
              Before I met her, I had met Sandy. ก่อนที่ฉันจะเจอเธอ ฉันเจอแซนดี้  


8. Past Perfect Continuous Tense ใช้เพื่อบอกเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาหนึ่งในอดีต และได้สิ้นสุดลงแล้ว เรียกว่ามีหลักการใช้เหมือนกับ Past Perfect Tense เพียงแต่เน้นถึงความต่อเนื่องชัดเจนขึ้น
          โครงสร้างไวยากรณ์: S + had been + V ing 
          ตัวอย่างประโยค: 
              I had been painting the wall before the dog scratched it.  ฉันทาสีกำแพงก่อนที่เจ้าหมาจะมาขีดข่วนมัน
              My father had been smoking for 5 years before I was born. พ่อฉันสูบบุหรี่จัดเป็นเวลา 5 ปี ก่อนที่ฉันจะเกิด 


9. Future Simple Tense ใช้เพื่อบอกความตั้งใจ หรือเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต 
          โครงสร้างไวยากรณ์: S + will, shall + V1 
          ตัวอย่างประโยค:     
              I will go to Japan next month. ฉันจะไปญี่ปุ่นเดือนหน้า
              I will send you my photo tonight. ฉันจะส่งรูปฉันให้ดูคืนนี้ 


10. Future Continuous Tense ใช้เพื่อบอกเล่าถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอย่างแน่นอนในช่วงเวลาหนึ่งในอนาคต และใช้กับเหตุการณ์หนึ่งในอนาคตที่จะเกิดขึ้น ก่อนที่อีกหนึ่งเหตุการณ์จะเกิดตามมา
          โครงสร้างไวยากรณ์: S + will be + V ing
          ตัวอย่างประโยค: 
              I will be studying in tomorrow morning. พรุ่งนี้ตอนเช้า ผมคงจะกำลังเรียนอยู่
              I will be working when you finish your work. ผมคงจะกำลังทำงานอยู่ เมื่อคุณเลิกงานแล้ว 


11. Future Perfect Tense ใช้เพื่อบอกเล่าถึงเหตุการณ์ที่คาดว่าจะสิ้นสุดลงในช่วงเวลาหนึ่งในอนาคต หรือใช้กับเหตุการณ์หนึ่งที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต ก่อนที่อีกเหตุการณ์หนึ่งจะเกิดขึ้นตามมา
          โครงสร้างไวยากรณ์: S + will + have + V3 
          ตัวอย่างประโยค:     
              Apple will have launched its new iPhone by 2012. แอปเปิลจะเปิดตัวไอโฟนรุ่นใหม่ภายในปี 2012
              My father will have gone when I get up.  เมื่อฉันตื่น พ่อฉันก็คงไปแล้ว 



12. Future Perfect Continuous Tense ใช้เพื่อบอกเล่าถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่งในอนาคต และก็จะดำเนินต่อไปอีกหลังจากนั้น หรือใช้เหมือนกับ Future Perfect Tense แต่เน้นความต่อเนื่องของการกระทำหนึ่งในอนาคต
          โครงสร้างไวยากรณ์: S + will/shall + have been + V ing 
          ตัวอย่างประโยค:  
              By the next year, I will have been working for 10 years. ผมจะทำงานครบ 10 ปีในปีหน้านี้
              In ten minutes I will have been waiting 1 hour for the bus.  อีก 10 นาที ผมจะรอรถเมล์ครบ 1 ชั่วโมงพอดี 

วันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ตัวอย่างการใช้ 12 Tense


ตัวอย่างการใช้ Tenses ทั้ง 12 Tenses
หลักการใช้ Past Continuous Tense (อดีตกาลต่อเนื่อง)

1.
ใช้เพื่อกล่าวถึงเหตุการณ์สองเหตุการณ์ที่ เกิดขึ้นซ้อนกันในอดีต โดย
เหตุการณ์แรกที่เกิดขึ้นและดำเนินอยู่ จะใช้ Past Continuous Tense
เหตุการณ์สั้นๆนั้นได้เข้ามาแทรก จะใช้ Past Simple Tense  เช่น

 I met you boyfriend in the park while I was jogging.
(ฉันเจอแฟนคุณในสวนตอนฉันกำลังวิ่งจ๊อกกิ้งอยู่)

2.
ใช้เพื่อกล่าวถึงเหตุการณ์หรือการกระทำที่ เกิดขึ้นในอดีต ในช่วงเวลาที่บ่งไว้อย่างชัดเจน เช่น

I was taking a shower at eight o’clock last night.
(ฉันกำลังอาบน้ำอยู่เมื่อวานตอนสองทุ่ม)

 3.ใช้เพื่อกล่าวถึงเหตุการณ์ที่ เกิดขึ้นควบคู่กันไป ณ เวลาเดียวกัน (Parallel Actions) โดย เหตุการณ์ทั้งสองเหตุการณ์จะใช้ Past Continuous Tense เช่น

I was sleeping while the teacher was teaching,
(ฉันนอนหลับขณะที่คุณครูกำลังสอนอยู่)

4.
เรามักใช้คำว่า when, while, as ใน Past Continuous Tense เพื่อเชื่อมเหตุการณ์ ต่างๆเข้าด้วยกัน เช่น

As I was going to the church, he was going to the sea.
(ขณะที่ฉันกำลังเดินทางไปที่โบสถ์ เขาก็กำลังไปทะเล)



หลักการใช้ Future Continuous Tense (อนาคตกาลต่อเนื่อง)




1.ใช้กับเหตุการณ์ที่ กำลังจะเกิดขึ้นตามวันหรือเวลาที่กำหนดไว้ในอนาคตอย่างชัดเจน โดยจะสื่อความหมายออกมาว่า เมื่อถึงวันและเวลาที่กำหนดไว้แล้ว เราก็จะเห็นเหตุการณ์นั้นดำเนินอยู่ เช่น

He will be finishing his work at 7 o’clock.
(เขาจะทำงานของเขาเสร็จตอนเจ็ดโมงเช้า)

2.
ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่ คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตอย่างแน่นอน เช่น

You will be laughing when you see her with that dress.
(คุณจะต้องขำแน่ๆถ้าคุณเห็นเธออยู่ในชุดนั้น)

 3.ใช้กับ เหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ที่เกิดไม่พร้อมกันในอนาคต โดย
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อน จะใช้ Future Continuous Tense
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลัง จะใช้ Present Simple Tense   เช่น

 I will be watching movies when you cook dinner.
(ฉันจะกำลังดูหนังอยู่ในขณะที่คุณทำกับข้าวมื้อเย็น)


หลักการใช้ Present Continuous Tense (ปัจจุบันกาลต่อเนื่อง)


1.ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่ กำลังดำเนินอยู่ในขณะที่พูด ต่อเนื่องไปเรื่อยๆและจบในอนาคต โดยอาจจะใช้ Adverbs of Time (คำกริยาวิเศษณ์บอกเวลา) บางคำ เช่น now, at the moment, right now, at present, these days เป็นต้น เข้ามาช่วยในประโยคด้วย เช่น

She is going to the supermarket at the moment.
(หล่อนกำลังไปซุปเปอร์มาร์เกตอยู่ตอนนี้)

2.ใช้เพื่อพูดถึงเหตุการณ์หรือการกระทำที่ กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ เช่น

I am meeting my boss this evening.
(ฉันจะพบกับเจ้านายเย็นนี้)

 3.ใช้แสดงเหตุการณ์หรือการกระทำที่ ผู้พูดมั่นใจว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตอย่างแน่นอน เช่น

He is going to China tonight.
(เขาจะเดินทางไปยังประเทศจีนคืนนี้)

4.
กริยาบางตัวไม่สามารถใช้ในรูปของ Present Continuous Tense ได้ ถึงแม้ว่าเหตุการณ์นั้นจะกำลังเกิดขึ้น หรือ ดำเนินอยู่ก็ตาม โดยเรามักใช้ในรูปของ Present Simple Tense กับคำกริยากลุ่มนี้แทน ซึ่ง ได้แก่
            
                     4.1) กริยาที่แสดงถึงประสาทสัมผัสทั้งห้า เช่น see, hear, feel, taste, smell

I smell something bad. (ถูก)
I am smelling something bad. (ผิด)

                     4.2) กริยาที่แสดงความนึกคิด ความรู้สึก เช่น know, understand, think, believe, agree, notice, doubt, suppose, forget, remember, consider, recognize, appreciate, forgive

I believe her. (ถูก)
I am believing her. (ผิด)

                     4.3) กริยาที่แสดงความชอบและความไม่ชอบ เช่น like, dislike, love, hate, prefer, trust, detest

He likes a woman with long hair. (ถูก)
He is liking a woman with long hair. (ผิด)

                     4.4) กริยาที่แสดงความปรารถนา เช่น wish, want, desire, prefer

 I want to get married. (ถูก)
 I am wanting to get married. (ผิด)

                     4.5) กริยาที่แสดงความเป็นเจ้าของ เช่น possess, have, own, belong

 
She has no children. (ถูก)
She is having no children. (ผิด)


หลักการใช้ Future Perfect Continuous Tense (ปัจจุบันกาลสมบูรณ์)



1.มีวิธีการใช้เหมือนกับ Future Perfect Tense ต่างกันเพียงตรงที่ Future Perfect Continuous Tense นั้น เน้นการกระทำหรือเหตุการณ์ที่ ดำเนินอยู่ ณ เวลาใดเวลาหนึ่งและยังคงจะดำเนินต่อไปอีกในอนาคต โดยมักใช้กับ for + เพื่อแสดงระยะเวลาของเหตุการณ์ หรือ การกระทำนั้นๆ เช่น

By 2012, we will have been living in Bangkok for 7 years.
(ในปี 2012 ก็จะครบรอบที่เราออยู่ในกรุงเทพเป็นเวลา 7 ปีแล้ว)


2.
ใช้กับเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ที่ ต้องการเน้นความต่อเนื่องของการกระทำใดการกระทำหนึ่งในอนาคต โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อน จะใช้ Future Perfect Continuous Tense
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลัง จะใช้ Present Simple Tenseเช่น

 He shall have been cleaning his room for an hour when I visit him.
(เขาน่าจะกำลังทำความสะอาดห้องของเขาเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงแล้วในตอนที่ฉันไปหาเขา)

หลักการใช้ Past Perfect Continuous Tense
(อดีตกาลสมบูรณ์ต่อเนื่อง)

1.
ใช้กับเหตุการณ์ที่ เกิดขึ้นและดำเนินต่อเนื่องมาจนถึงอีกเหตุการณ์หนึ่งในอดีต โดยอาจใช้กับคำว่า since และ for เช่น
She had been shouting for help since she fell down the stairs.
(เธอได้ร้องขอความช่วยเหลือตั้งแต่เธอได้ตกบันไดลงมา)

2.ใช้พูดถึงการกระทำที่ เกิดขึ้นซ้ำไปซ้ำมาในอดีต และได้สิ้นสุดลงแล้ว เช่น 
I had been smoking for 5 months.(ฉันเคยสูบบุหรี่มาเป็นเวลาห้าเดือน)

3.Past Perfect Continuous Tense
จะ เน้นถึงความต่อเนื่องของการกระทำ (Continuity of action) มากกว่า Past Perfect Tense


หลักการใช้ Present Perfect Continuous Tense
(ปัจจุบันกาลสมบูรณ์ต่อเนื่อง)

1.
คำกริยาที่ใช้กับ Present Perfect Continuous Tense นั้น จะต้องเป็นคำกริยาที่แสดงถึงความต่อเนื่อง หรือ กริยาที่แสดงถึงการกระทำที่นาน (long action) เท่านั้น เช่น play, look, watch, learn, live, wait, eat และอื่นๆ โดยไม่สามารถใช้กับกริยาที่ไม่แสดงถึงความต่อเนื่อง หรือ กริยาที่แสดงถึงการกระทำที่จบในทันทีได้ เช่น stop, prefer, arrive เป็นต้น เช่น

I have been playing games since afternoon.
(ฉันเล่นเกมส์มาตั้งแต่ตอนบ่าย)

2.
ใช้กับเหตุการณ์ที่ เกิดขึ้นในอดีตต่อเนื่องมายังปัจจุบัน และยังคงดำเนินต่อไปอีกในอนาคต โดยใช้กับคำว่า since และ for เช่น 
She has been sitting here for an hour.
(เธอนั่งอยู่ตรงนี้มาเป็นเวลาชั่วโมงหนึ่งแล้ว)

3. Present Perfect Continuous Tense
อาจนำมาใช้ได้กับเหตุการณ์ที่ สิ้นสุดลงแล้ว แต่ส่งผลมายังปัจจุบัน เช่น 
You look tired. Have you been sleeping properly?
(คุณดูเหนื่อยจัง คุณได้นอนหลับมาเพียงพอหรือเปล่า)



4.Present Perfect Continuous Tense
จะ เน้นถึงความต่อเนื่องของการกระทำ (Continuity of action) มากกว่า Present Perfect Tense 
หลักการใช้ Past Perfect Tense (อดีตกาลสมบูรณ์)

1.
ใช้กับเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ ที่ เกิดขึ้น และสิ้นสุดลงแล้วในอดีตทั้ง 2 เหตุการณ์ ซึ่งเหตุการณ์หนึ่งได้สิ้นสุดลงก่อนหน้าอีกเหตุการณ์ โดย
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและสิ้นสุดลงก่อน จะใช้ Past Perfect Tense
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและสิ้นสุดลงทีหลัง จะใช้ Past Simple Tense 
We had gone out before he came.
(เราออกไปข้างนอกกันแล้วก่อนที่เขาจะมา)

2.Past Perfect Tense
มักจะใช้กับคำว่า before, after, already, just, yet, until, till, as soon as, when, by the time, by… (เช่น by this month) และอื่นๆ โดยจะมีอาจวิธีการใช้ต่างกันไป เช่น Before + Past Simple Tense + Past Perfect Tense   เช่น 

Before I went to the school, I had had a car accident.
(ก่อนที่ฉันจะไปโรงเรียน ฉันได้ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์)

After + Past Perfect Tense + Past Simple Tense
เช่น 

After I had finished my homework, I went to the Internet Café.
(หลังจากที่ฉันทำการบ้านเสร็จ ฉันก็ไปยังร้านอินเตอร์เน็ต)

By  he time + Past Simple Tense + Past Perfect Tense
เช่น 

By the time he came here, I already had finished my dinner.
(ตอนที่เขามาถึง ฉันก็กินข้าวมื้อเย็นของฉันเสร็จเรียบร้อยแล้ว)
หลักการใช้ Present Perfect Tense

1.
ใช้กับเหตุการณ์ที่ เกิดขึ้นในอดีต และดำเนินต่อเนื่องมายังปัจจุบัน และมีแนวโน้นที่จะดำเนินต่อไปได้อีกในอนาคต เช่น 

I have had a lot of toys.
ฉันมีของเล่นมากมาย (และอาจจะมีของเล่นเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต)

2.
ใช้กับเหตุการณ์ในอดีตที่ เกิดขึ้นและสิ้นสุดลงแล้ว แต่ยังส่งผลมายังปัจจุบัน เช่น

It has stopped raining.
ฝนหยุดตกแล้ว (แต่ถนนยังเปียกอยู่)

3.
ใช้พูดถึง เหตุการณ์หรือการกระทำที่เกิดขึ้นซ้ำๆกัน ในช่วงเวลาหนึ่งระหว่างอดีตและปัจจุบัน โดยมักใช้คำว่า many/several times, a lot of times, …times, again and again, over and over และอื่นๆ เช่น

I’ve read this book more than 3 times.
(ฉันอ่านหนังสือเล่มนี้มามากกว่าสามรอบแล้ว)

4.
ใช้กับเหตุการณ์ที่ เพิ่งสิ้นสุดลง โดยไม่ระบุเวลา ซึ่งมักใช้กับ just, already และ yet  yet มักใช้ในประโยคปฏิเสธ ส่วน just และ already นั้น มักจะใช้กันในประโยคบอกเล่า โดยวางไว้อยู่หน้ากริยาหลัก
เช่น 

I haven’t finished my homework yet.
(ฉันยังทำการบ้านของฉันไม่เสร็จเลย)

5.
ใช้เพื่อบอกเล่าถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ ซึ่งมักใช้กับ just, recently, lately และอื่นๆ

The meeting has just started.
(การประชุมเพิ่งจะเริ่มขึ้น)
หลักการใช้ Future Simple Tense
(
อนาคตกาลปกติ)

1.ใช้พูดถึงเหตุการณ์หรือการกระทำที่ จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยมักใช้กับ Adverb of Time เช่น tomorrow, next…, soon, shortly, later และอื่นๆ เช่น

I will go to the hospital tomorrow.
(ฉันจะไปโรงพยาบาลในวันพรุ่งนี้)

2.
ใช้กับประโยคที่ ตัดสินใจในขณะที่พูด โดยไม่ได้วางแผนมาก่อน เช่น

I think I will buy a new mobile phone next week.
(ฉันคิดว่าฉันจะซื้อมือถือเครื่องใหม่อาทิตย์หน้า)

3.
เราอาจใช้ “to be going to” แทน will/shall ใน Future Simple Tense เมื่อ
 •
กล่าวถึง แผนการ หรือ ความตั้งใจ เช่น

He is going to have a new pet next month.
(เขากำลังจะได้สัตว์เลี้ยงตัวใหม่ในเดือนหน้า)

หลักการใช้ Past Simple Tense (อดีตกาลปกติ)

1. ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่ เกิดขึ้นในอดีตและสิ้นสุดลงแล้ว ซึ่งมักจะมีคำหรือวลีที่บ่งบอกถึงเวลาในอดีตในประโยคเสมอ เช่น yesterday, last…, … ago, once, this morning, when I was… และอื่นๆ เช่น

I met a beautiful girl last night.
(ฉันเจอผู้หญิงสวยคนหนึ่งเมื่อคืนนี้)

2.
ใช้แสดงถึงการกระทำที่เป็นนิสัยหรือเกิดขึ้นเป็นประจำในอดีต ซึ่งสิ้นสุดลงแล้ว โดยมักมี Adverbs of Frequency (กริยาวิเศษณ์แสดงความถี่) อยู่ในประโยคด้วย เช่น often, always, sometimes และอื่นๆ ซึ่งมักจะมี Adverb of Time (กริยาวิเศษณ์แสดงเวลา) ระบุถึงเวลาในอดีตด้วย เช่น last month, last year และอื่นๆ เช่น

I cooked every night last month.
(ฉันทำอาหารทุกคืนเมื่อเดือนที่แล้ว)


หลักการใช้ Present Simple Tense
 (
ปัจจุบันกาลปกติ)

1.ใช้พูดถึงเหตุการณ์หรือการกระทำที่ เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา หรือ เกิดขึ้นเป็นประจำซ้ำไปซ้ำมา เช่น

I drink a lot of water.
(ฉันดื่มน้ำเยอะ)

2.
ใช้กับการกระทำที่ ทำจนเป็นอุปนิสัย หรือ ใช้เพื่อแสดงความถี่ของการกระทำต่างๆ โดยเรามักใช้กับ คำกริยาวิเศษณ์แสดงความถี่ (Adverbs of Frequency) มาช่วยในการแสดงความถี่ของการกระทำ เช่น

I always do my homework.
(ฉันทำการบ้านของฉันเสมอ)

3.
ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่ เป็นความจริงตลอดไป (fact) หรือ เป็นกฎทางธรรมชาติ (natural law) โดยไม่จำเป็นว่าการกระทำนั้นๆ กำลังเกิดขึ้นในขณะที่พูดหรือไม่ เช่น

Snow is white.
(หิมะมีสีขาว)

4.
ใช้เมื่อต้องการพูดถึง ตารางเวลา (Schedule) หรือ แผนการ (Plan) ที่ได้วางไว้ เช่น

The meeting starts from 8.30 am until 10.00 pm.
(การประชุมเริ่มตอนแปดโมงครึ่งตอนเช้าไปยังสี่ทุ่ม)

5.
ใช้ในการ แนะนำ บอกแนวทาง หรือ สอน เช่น

How do I get to the nearest mall? Go straight and turn left on the next corner.
(ฉันจะไปยังห้างที่ใกล้ที่สุดได้อย่างไร เดินตรงไปแล้วเลี้ยวซ้ายตรงหัวมุมข้างหน้า